ทำไมคนส่วนใหญ่ เป็นหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น แต่ไม่อันตราย
หนึ่งในอาการที่ทำให้เรารู้สึกปวดหลังอย่างรุนแรงจนต้องแทบจะทำกิจวัตรประจำวันไม่ไหวคือ อาการ หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น เมื่อเราได้ยินคำนนี้แล้วก็รู้สึกกังวลว่าอาจเป็นอาการที่รุนแรงมาก ๆ เพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านทุกคนสบายยิ่งขึ้นวันนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับอาการหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุการเกิด อาการที่พบบ่อย ไปจนถึงวิธีการรักษาและป้องกัน เพื่อให้คุณได้ทำความเข้าใจกับอาการที่หลายคนกลัว แต่ไม่จำเป็นต้องกลัวเกินเหตุกันเกินไป
หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นคืออะไร?
กระดูกสันหลังของเราประกอบด้วยข้อกระดูกหลายข้อเรียงต่อกัน โดยระหว่างข้อกระดูกแต่ละข้อจะมีหมอนรองกระดูก ทำหน้าที่สำคัญในการดูดซับแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวและช่วยให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว หมอนรองกระดูกประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ วงแหวนเนื้อเยื่อด้านนอกที่มีความแข็งแรง และแกนกลางที่มีลักษณะคล้ายเจลที่มีความยืดหยุ่น เมื่อเราพูดถึงหมอนรองกระดูก "ปลิ้น" หมายถึงภาวะที่แกนกลางของหมอนรองกระดูกมีการเคลื่อนตัวผิดปกติออกนอกวงแหวนเนื้อเยื่อด้านนอก โดยความรุนแรงของอาการสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ
- ระดับโป่ง (Bulging) - หมอนรองกระดูกมีการยื่นออกมาเล็กน้อย แต่วงแหวนเนื้อเยื่อยังไม่ฉีกขาด เป็นระยะเริ่มต้นที่พบได้บ่อยและมักไม่รุนแรง
- ระดับฉีกขาด (Herniated) - วงแหวนเนื้อเยื่อมีการฉีกขาด ทำให้แกนกลางเริ่มทะลักออกมา อาจกดทับเส้นประสาทและก่อให้เกิดอาการปวด
- ระดับแตก (Ruptured) - วงแหวนเนื้อเยื่อแตกออกอย่างชัดเจน ทำให้แกนกลางทะลักออกมามาก เป็นระดับที่อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงและต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นมีอาการอย่างไร
อาการทั่วไป
ปวดหลังส่วนล่างหรือปวดคอ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่หมอนรองกระดูกปลิ้น
อาการปวดมักรุนแรงในช่วงแรก เนื่องจากการกดทับเส้นประสาทและการอักเสบ
ปวดบริเวณก้นหรือสะโพก
ปวดหลังร้าวลงขา (Sciatica) หากไปกดทับเส้นประสาท
ปวดหลังร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง โดยเฉพาะที่บริเวณสะโพก ต้นขา น่อง และเท้า
อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นเมื่อไอ จาม หรือเปลี่ยนท่าทาง
ชา หรืออ่อนแรงที่ขา
อาการชาหรือรู้สึกเสียวแปลบเหมือนไฟช็อต ร้าวลงแขนหรือขา
กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะที่ขาหรือเท้า ส่งผลต่อความสามารถในการยกหรือถือสิ่งของ
ในบางรายอาจมีอาการชาที่ขาโดยไม่มีอาการปวดหลังร่วมด้วย
อาการปวดเพิ่มขึ้นเมื่อไอ จาม หรือนั่งนาน
อาการปวดมักแย่ลงเมื่อไอ จาม นั่ง หรือยืนเป็นเวลานาน
การเบ่งถ่ายอาจทำให้รู้สึกขาชามากขึ้น
อาการอาจรุนแรงขึ้นเมื่อทำกิจกรรมต่างๆ แต่การพักผ่อนมักช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราว
กรณีไม่มีอาการ
หมอนรองกระดูกปลิ้นอาจไม่แสดงอาการใดๆ ในบางราย
การตรวจพบหมอนรองกระดูกปลิ้นในภาพถ่าย MRI อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเสื่อมตามวัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
แม้แต่ในผู้ใหญ่อายุน้อย (30-39 ปี) อาจมีการเสื่อมของหมอนรองกระดูกโดยไม่มีอาการ
อาการอื่นๆ ที่ควรระวัง
ในกรณีรุนแรง อาจมีอาการปวดหลังร้าวลงขาทั้งสองข้าง ขาชาและอ่อนแรงทั้งสองข้าง
ปัญหาในการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ ซึ่งเป็นอาการที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
การสูญเสียความรู้สึกบริเวณก้น ต้นขาด้านหลัง และรอบๆ ทวารหนัก
สาเหตุและปัจจัยของอาการหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น
อาการหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นมักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน สภาพร่างกาย และปัจจัยด้านสุขภาพ โดยสามารถแบ่งสาเหตุหลักได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
ปัจจัยทางกายภาพ
- การเสื่อมสภาพตามอายุ : เมื่ออายุเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะหลัง 30 ปี หมอนรองกระดูกสันหลังจะค่อยๆ สูญเสียความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้น ทำให้เสี่ยงต่อการปลิ้นได้ง่ายแม้เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
- การยกของหนักผิดท่า หรือบิดตัวอย่างกะทันหัน : การก้มตัวยกของหนักโดยไม่ย่อเข่าหรือบิดตัวเร็วเกินไป ส่งผลให้หมอนรองกระดูกรับแรงกดทับมากผิดปกติ
- นั่งทำงานนานๆ โดยไม่เปลี่ยนท่า : การนั่งติดต่อกันหลายชั่วโมงทำให้กล้ามเนื้อรอบหลังเกร็งตัว และเพิ่มแรงดันบนหมอนรองกระดูกสันหลังอย่างต่อเนื่อง 1
ปัจจัยด้านสุขภาพ
- โรคอ้วน : น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานจะเพิ่มแรงกดบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง ส่งผลให้หมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- กล้ามเนื้อหลังอ่อนแรง : หากกล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังไม่แข็งแรงพอ จะไม่สามารถรองรับแรงกระแทกหรือแบ่งเบาภาระจากกิจกรรมประจำวันได้
ปัจจัยอื่นๆ
- พันธุกรรม : บางครอบครัวมีแนวโน้มโครงสร้างกระดูกสันหลังผิดปกติหรือเนื้อเยื่อหมอนรองกระดูกเสื่อมเร็วจากพันธุกรรม
- การสูบบุหรี่ : สารพิษในบุหรี่ลดประสิทธิภาพการไหลเวียนเลือด ทำให้สารอาหารไปเลี้ยงหมอนรองกระดูกไม่เพียงพอ จนเนื้อเยื่ออ่อนแอและฉีกขาดได้ง่าย
หมอนรองกระดูกปลิ้นอันตรายแค่ไหน
หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นอาจฟังดูน่ากังวล แต่ความจริงแล้วร่างกายของเรามีกลไกธรรมชาติที่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยร่างกายสามารถดูดซับสาร Nucleus Pulposus ที่รั่วออกมาได้เองผ่านกระบวนการ Resorption และเส้นประสาทก็มีความสามารถในการปรับตัวเมื่อไม่ถูกกดทับเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ตำแหน่งการปลิ้นก็เป็นปัจจัยสำคัญ หากไม่ได้กดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลัง ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใดๆ เลย ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน การรักษาแบบไม่ผ่าตัดมีประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังที่สำคัญคือ หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ หรือมีอาการอ่อนแรงที่ขาทั้งสองข้าง ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ การวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
วิธีการรักษาอาการหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น
การรักษาอาการหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นมีหลายวิธี โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมตามความรุนแรงของอาการและการตอบสนองของผู้ป่วยแต่ละราย โดยส่วนใหญ่แล้ว การรักษาจะเริ่มต้นจากวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดก่อน และจะพิจารณาการผ่าตัดเมื่อจำเป็นเท่านั้น
การรักษาแบบประคับประคอง
- พักผ่อนและปรับพฤติกรรม : หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องก้ม เงย หรือยกของหนักชั่วคราว เพื่อลดแรงกดทับบนกระดูกสันหลัง
- การใช้ยาลดปวดและอักเสบ : ยากลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน หรือนาพรอกเซน ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบของเส้นประสาท
- กายภาพบำบัด : นักกายภาพบำบัดจะแนะนำท่าบริหารเฉพาะเพื่อยืดกล้ามเนื้อ เสริมความแข็งแรงบริเวณหลังและหน้าท้อง รวมถึงอาจใช้การดึงหลัง (Traction) เพื่อลดแรงดันบนหมอนรองกระดูก
การรักษาระดับกลาง
ในกรณีที่การรักษาแบบประคับประคองไม่ได้ผลเท่าที่ควร แพทย์อาจพิจารณาการรักษาในระดับที่เข้มข้นขึ้น เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าบริเวณที่มีการกดทับ (Epidural Injection) ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรงและต้องการการบรรเทาอาการอย่างรวดเร็ว
การรักษาด้วยการผ่าตัด
การผ่าตัดจะเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เป็นระยะเวลา 3-6 เดือน หรือมีอาการรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ปัจจุบันมีเทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัย เช่น การผ่าตัดส่องกล้อง (Endoscopic Discectomy) ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่มีแผลขนาดเล็ก ช่วยลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ และทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกวิธีการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย
การป้องกันอาการหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น
การป้องกันอาการหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรให้ความใส่ใจ โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม เช่น การยกของให้ถูกวิธีด้วยการใช้กำลังจากขาแทนการใช้หลัง และการจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เอื้อต่อสุขภาพ ด้วยการปรับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมาะสมกับสรีระ อีกทั้งเราสามารถใช้วิธีการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ด้วยการฝึกโยคะหรือออกกำลังกายอื่นๆ โดยเน้นไปในทางช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อที่พยุงกระดูกสันหลัง แต่ต้องระวังคือเราควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือกีฬาที่มีการกระแทกรุนแรงบริเวณหลัง และที่สำคัญไม่ควรละเลยเรื่องโภชนาการและการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงกดทับบริเวณกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นได้ในอนาคต
สรุป
ท้ายที่สุดแล้ว การดูแลสุขภาพกระดูกสันหลังของเราไม่ใช่เพียงเรื่องของการรักษาเมื่อเกิดปัญหา แต่เป็นการเข้าใจและใส่ใจดูแลร่างกายอย่างถูกวิธีคือกุญแจสำคัญในการป้องกันปัญหาหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น ลองถามตัวเองว่า คุณได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพกระดูกสันหลังของคุณมากพอแล้วหรือยัง? หากยังไม่ได้เริ่ม วันนี้อาจเป็นโอกาสดีที่จะเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างรากฐานสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว