อาการเสพติดสารระงับปวด ปัญหาจากการใช้ยา และการรักษาแบบใหม่
ความเจ็บปวดเรื้อรังสามารถทำลายคุณภาพชีวิตได้อย่างสิ้นเชิง แต่วิธีที่เรามักใช้จัดการกับมันเช่นใช้ยาระงับปวดกลุ่มโอปิออยด์ กลับนำไปสู่ปัญหาที่อันตรายยิ่งกว่า มีผู้คนหลายคนตกอยู่ในวงจรอันตรายของการเสพติดสารระงับปวด แต่ในปัจจุบันมีวิธีการที่ปลอดภัยกว่า เป็นการรักษาแบบไม่ใช้ยาที่จัดการกับต้นเหตุของความเจ็บปวดโดยตรง ไม่ใช่เพียงแค่บรรเทาอาการ วันนี้เรามาทำความเข้าใจอันตรายของการเสพติดสารระงับปวดและมาดูทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับการใช้ชีวิตที่ปราศจากความเจ็บปวดและการเสพติด
อาการเสพติดสารระงับปวดคืออะไร
อาการเสพติดสารระงับปวด (Opioid Addiction) หรือที่เรียกทางการแพทย์ว่า ภาวะใช้สารโอปิออยด์ผิดปกติ (Opioid Use Disorder) คือภาวะที่ร่างกายและจิตใจเกิดการพึ่งพาสารกลุ่มโอปิออยด์ซึ่งเป็นยาระงับปวดชนิดรุนแรง เป็นผลมาจากการใช้ยากลุ่มโอปิออยด์ ซึ่งเป็นยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องหรือในปริมาณที่มากเกินไป อาจนำไปสู่การพึ่งพาทางร่างกายและจิตใจจนเกิดภาวะเสพติด ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้จะพบว่าตนเองไม่สามารถหยุดใช้ยาได้แม้ต้องการ มีความต้องการใช้ยาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีอาการถอนยาเมื่อหยุดใช้ หากเพิ่มขนาดยาแก้ปวดไปเรื่อยๆ ผลสุดท้ายก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างรุนแรง
สาเหตุของการเสพติดสารระงับปวด
- การใช้ยาต่อเนื่อง : การใช้ยากลุ่มโอปิออยด์เพื่อบรรเทาอาการปวดเรื้อรัง หรือหลังการผ่าตัด อาจนำไปสู่การเกิดความทนต่อยา (Tolerance) ทำให้ต้องเพิ่มขนาดยาเพื่อให้ได้ผลเช่นเดิม
- กลไกทางสมอง : ยากลุ่มโอปิออยด์ส่งผลต่อสมองโดยกระตุ้นระบบรางวัล (Reward System) ทำให้ผู้ใช้รู้สึกผ่อนคลายหรือมีความสุข เป็นเหตุให้เกิดความต้องการใช้ยาเพิ่มขึ้น
อาการของการเสพติดสารระงับปวด
การเสพติดสารระงับปวดกลุ่มโอปิออยด์มักแสดงออกผ่านอาการทั้งทางกายภาพและทางจิตใจที่ชัดเจน ผู้ที่ติดยากลุ่มนี้จะแสดงอาการที่สังเกตได้หลายประการ เนื่องจากสารกลุ่มโอปิออยด์ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลางโดยตรง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านการทำงานของร่างกายและพฤติกรรม
อาการเสพติดสารระงับปวดทางกายภาพ
อาการทางกายภาพที่พบในผู้ติดสารระงับปวดกลุ่มโอปิออยด์เป็นผลมาจากการที่สารเหล่านี้กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกายหลายประการ ผู้ป่วยอาจแสดงอาการเหล่านี้เมื่อได้รับยาหรือเมื่อเกิดภาวะถอนยา โดยมีอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
- รูม่านตาหดเล็ก : ผู้ติดสารระงับปวดมักมีรูม่านตาที่เล็กผิดปกติแม้อยู่ในที่มีแสงน้อย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของการได้รับสารกลุ่มโอปิออยด์
- การหายใจผิดปกติ : การหายใจช้าหรือตื้น เป็นอาการที่อันตรายและเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด ระบบหายใจที่ถูกกดการทำงานอาจทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนและส่งผลกระทบต่อสมองได้
- อาการทางระบบทางเดินอาหาร : ผู้ป่วยมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องผูกอย่างรุนแรง เนื่องจากสารกลุ่มโอปิออยด์ลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้อาหารเคลื่อนตัวช้าลงอย่างมาก
- การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว : ผู้ติดยาอาจมีน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วเนื่องจากเบื่ออาหารหรือหมกมุ่นกับการใช้ยาจนละเลยการรับประทานอาหาร หรือในบางรายอาจมีน้ำหนักเพิ่มจากการเปลี่ยนแปลงของเมตาบอลิซึม

อาการทางจิตใจและพฤติกรรมของการเสพติดสารระงับปวด
นอกจากอาการทางกายภาพแล้ว การเสพติดสารระงับปวดยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อสภาพจิตใจและพฤติกรรม เนื่องจากสารกลุ่มโอปิออยด์มีผลต่อระบบรางวัลในสมอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรมอย่างเห็นได้ชัด
- ความต้องการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง : ผู้ติดยาจะมีความต้องการใช้ยาแม้ไม่มีอาการปวดแล้ว หรือพยายามหาวิธีได้รับยาเพิ่มเติม เช่น การไปพบแพทย์หลายคนเพื่อขอใบสั่งยา หรือการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับอาการปวดเพื่อให้ได้รับยาเพิ่ม
- ความแปรปรวนทางอารมณ์ : อารมณ์หงุดหงิดง่าย ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ หรือมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ติดสารระงับปวด โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายต้องการยาหรือเมื่อเกิดภาวะถอนยา
- การสูญเสียความสนใจ : ผู้ป่วยมักขาดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชื่นชอบหรือมีความสำคัญ เช่น งานอดิเรก กีฬา หรือแม้แต่การทำงานและความรับผิดชอบต่อครอบครัว เนื่องจากจิตใจจดจ่ออยู่กับการใช้ยาเป็นหลัก
- การแยกตัวและพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ : การหลีกเลี่ยงการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนหรือครอบครัว การปกปิดหรือโกหกเกี่ยวกับการใช้ยา และการใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหายาหรือใช้ยา เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงปัญหาการเสพติดที่รุนแรงขึ้น
ทางเลือกการรักษาอาการเจ็บปวดที่โรงพยาบาลเซเปี้ยนซ์ใช้
การใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency Neurotomy)
เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูงเป็นนวัตกรรมการรักษาที่ช่วยระงับสัญญาณความเจ็บปวดโดยตรงที่ต้นตอ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดที่มีความเสี่ยงต่อการเสพติด วิธีการนี้ใช้คลื่นวิทยุเพื่อรบกวนสัญญาณความเจ็บปวดจากเส้นประสาท ทำให้สมองไม่สามารถรับรู้สัญญาณความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาด้วยเทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง โดยเฉพาะอาการปวดหลังจากข้อต่อกระดูกสันหลังหรือกระดูกเชิงกราน ซึ่งสามารถลดอาการเจ็บปวดได้ยาวนานถึง 8-10 เดือน และสามารถทำซ้ำได้เมื่ออาการกลับมา
การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อต่อหรือโพรงกระดูกสันหลัง
การฉีดยาสเตียรอยด์เป็นทางเลือกการรักษาที่ช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างรวดเร็วสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดจากการอักเสบ วิธีนี้ทำงานโดยตรงที่จุดที่มีการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้ การฉีดยาสเตียรอยด์เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดคอ ปวดหลัง หรือมีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เหมาะสำหรับการบรรเทาอาการในระยะสั้น
การทำกายภาพบำบัด (Physical Therapy)
การทำกายภาพบำบัดเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาหลักที่โรงพยาบาลเซเปี้ยนซ์ใช้ในการจัดการอาการปวด โดยเน้นการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการปวดและป้องกันการกลับมาของอาการในระยะยาว
- การใช้คลื่นกระแทก (Shock Wave Therapy) : ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย โดยเฉพาะในกรณีของอาการปวดจากข้อและเอ็น
- เลเซอร์กำลังสูง (High Power Laser Therapy) : ลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดในระดับเซลล์
- อัลตราซาวด์บำบัด (Ultrasound Therapy) : ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดอาการบวม
- การกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้า (TENS) : ใช้กระแสไฟฟ้าระดับต่ำเพื่อรบกวนสัญญาณความเจ็บปวดและกระตุ้นการหลั่งสารระงับปวดธรรมชาติในร่างกาย
การจัดการความเจ็บปวดแบบองค์รวม
โรงพยาบาลเซเปี้ยนซ์เชื่อในการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม โดยไม่เพียงมุ่งเน้นที่อาการทางกายเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงปัจจัยทางจิตใจและสังคมที่ส่งผลต่อการรับรู้ความเจ็บปวดของผู้ป่วย การรักษาแบบองค์รวมช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น
ทางเลือกในการรักษาแบบองค์รวมที่โรงพยาบาลเซเปี้ยนซ์ให้บริการ ได้แก่:
- โยคะบำบัด : ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ความแข็งแรง และการผ่อนคลาย พร้อมทั้งส่งเสริมการหายใจที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดและอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การฝังเข็ม : เป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนที่ช่วยปรับสมดุลการไหลเวียนพลังงานในร่างกาย ส่งผลให้ลดอาการปวดและกระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟินซึ่งเป็นสารระงับปวดธรรมชาติ
- การนวดบำบัด : ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด เพิ่มการไหลเวียนเลือด และลดอาการปวดจากกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผ่านโปรแกรมจิตบำบัด : เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีการจัดการกับความคิดและพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการรับรู้ความเจ็บปวด
สรุป
การพึ่งพายาระงับปวดกลุ่มโอปิออยด์เพียงอย่างเดียวอาจนำไปสู่ปัญหาการเสพติดที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ดังที่เราได้กล่าวมาแล้ว โรงพยาบาลเซเปี้ยนซ์เข้าใจถึงความท้าทายในการจัดการกับความเจ็บปวดโดยไม่ต้องพึ่งพายาที่มีความเสี่ยงต่อการเสพติด จึงได้พัฒนาแนวทางการรักษาที่หลากหลาย ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน อย่าปล่อยให้ความเจ็บปวดเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของคุณอีกต่อไป