ปวดเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน สัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม!
อาการปวดเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานมักเผชิญกับปัญหาปวดเท้า เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานสามารถทำให้เส้นประสาทเสียหาย (diabetic neuropathy) และทำให้การไหลเวียนเลือดบกพร่อง อาการปวดเท้าเบาหวานมีลักษณะดังนี้:
- อาการปวดแสบ ปวดร้อน: มักเกิดขึ้นที่ปลายเท้า โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- อาการชาและรู้สึกเหมือนถูกเข็มแทง: เกิดจากความเสียหายของเส้นประสาท
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง: ส่งผลให้เดินลำบากและอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผล

1. การรักษาด้วยยา
- ยากลุ่ม Gabapentinoids เช่น Gabapentin และ Pregabalin ใช้ลดอาการปวดจากเส้นประสาท
- ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) เช่น Amitriptyline หรือ Duloxetine ช่วยลดอาการปวดที่เกิดจาก neuropathy
- ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น Ibuprofen หรือ Naproxen อาจใช้ในบางกรณี แต่ต้องระวังผลข้างเคียงต่อไตและระบบทางเดินอาหาร
- ยากลุ่ม Opioids อาจใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรง แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์
- Nerve Block: การฉีดยาชาหรือสารลดอาการอักเสบรอบเส้นประสาทเพื่อลดอาการปวด
- Spinal Cord Stimulation (SCS): การฝังอุปกรณ์กระตุ้นเส้นประสาทไขสันหลังเพื่อลดความเจ็บปวด
- Intrathecal Drug Delivery: การให้ยาแก้ปวดทางไขสันหลังโดยตรง
- Radiofrequency Ablation (RFA): การใช้คลื่นวิทยุทำลายเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณปวด
การดูแลเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน
เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดแผลและภาวะแทรกซ้อนที่เท้า การดูแลเท้าอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยสามารถปฏิบัติตามแนวทางดังนี้:
1. การดูแลสุขภาพเท้าโดยทั่วไป
- ล้างเท้าด้วยน้ำอุ่น (32-35 องศาเซลเซียส) และสบู่อ่อน ๆ เป็นประจำ
- เช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า
- หลีกเลี่ยงการแช่เท้าในน้ำร้อนหรือเย็นจัด
- หมั่นตรวจสอบเท้าทุกวันว่ามีแผล ถลอก รอยแดง หรือรอยบวมผิดปกติหรือไม่
- ตัดเล็บเท้าให้ตรง ไม่ลึกเกินไป เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดเล็บขบ
- สวมรองเท้าที่เหมาะสมและพอดีกับขนาดเท้าเสมอ หลีกเลี่ยงรองเท้าคับหรือหลวมเกินไป
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า โดยเฉพาะบนพื้นแข็งหรือร้อนจัด
- หลีกเลี่ยงการใช้แผ่นรองเท้าหรืออุปกรณ์ที่ทำให้เกิดแรงกดทับบริเวณใดบริเวณหนึ่งของเท้า
ใช้ครีมบำรุงเท้าเพื่อป้องกันผิวแห้งและแตก แต่ควรหลีกเลี่ยงการทาครีมบริเวณซอกนิ้วเท้าเพราะอาจทำให้เกิดเชื้อรา
4. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่เท้า
- รับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และใช้ยาตามแพทย์สั่ง
ข้อสรุป
อาการปวดเท้าเบาหวานเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจนำไปสู่แผลเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การดูแลเท้าอย่างถูกต้อง ตรวจสอบเท้าทุกวัน และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ การรักษาด้วยยาและเทคนิค Pain Intervention สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง